“คมนาคม” โต้ปมส่วยรถบรรทุก ยันด่านตรวจชั่งน้ำหนักใช้ระบบเทคโนโลยี

เมื่อวันที่ 31 พ.คคำพูดจาก ทดลองปั่นสล็อต. ที่กระทรวงคมนาคม นายพิศักดิ์ จิตวิริยะวศิน รองปลัดกระทรวงคมนาคม หัวหน้ากลุ่มภารกิจการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านทางหลวง เปิดเผยว่า ได้ประชุมคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงครั้งที่ 1/2566 กรณีการติดสินบนเจ้าหน้าที่ด้วยการติดสติกเกอร์บนรถบรรทุก ขณะนี้ที่ประชุมได้แต่งตั้งคณะทำงานย่อย เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง และรวบรวมเอกสารพยานหลักฐานต่างๆ จากบุคคล เพื่อนำกลับมารายงานผลอีกครั้งในวันที่ 9 มิ.ย.นี้ โดยจากการชี้แจงของกรมทางหลวง (ทล.) เกี่ยวกับข้อกล่าวหาของการรับสินบน เพื่อแลกกับการยกเว้นตรวจสอบน้ำหนักรถบรรทุกนั้น เบื้องต้นทราบว่า ทล. มีการติดตั้งด่านตรวจน้ำหนักรถบรรทุก ซึ่งใช้ระบบเทคโนโลยีเข้ามาตรวจจับน้ำหนักตั้งแต่ปี 2549 โดยปัจจุบันมีด่านเปิดใช้งานแล้วจำนวน 97 ด่าน และมีแผนจะพัฒนาเพิ่มเป็น 128 ด่านทั่วประเทศในอนาคต

นายพิศักดิ์ กล่าวต่อว่า ในที่ประชุมครั้งนี้ยังได้มอบหมาย ทล. จัดทำรายละเอียดและคลิปวิดีโอในการตรวจวัดน้ำหนักรถบรรทุกขณะรถวิ่ง หากพบว่ารถบรรทุกบรรทุกน้ำหนักเกินกว่ากฎหมายกำหนด หรือ Weight In Motion (WIM) เพื่อให้ประชาชนได้รับทราบข้อมูล และความโปร่งใส ซึ่ง ทล. ยืนยันด้วยว่า ปัจจุบันมีข้อกำหนดรถบรรทุกทุกคันที่ผ่านด่านจะต้องเข้ารับการตรวจสอบน้ำหนัก หากไม่ดำเนินการตรวจสอบจะติดตาม เพื่อตรวจสอบและดำเนินการตามกฎหมาย

ทั้งนี้ กระทรวงคมนาคมมอบหมายให้คณะทำงานชุดนี้ มีหน้าที่ในการตรวจสอบการทำงานของ ทล. ตามที่มีการกล่าวประเด็นถึงเรื่องติดสินบน พร้อมชี้แจงถึงการทำงานในช่วงที่ผ่านมา ส่วนข้อกล่าวหาเกี่ยวกับตัวบุคคลซึ่งเป็นข้าราชการในสังกัดกระทรวงคมนาคมจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับกรณีการรับสินบนอย่างไรนั้น คณะทำงานจะตรวจสอบข้อเท็จจริง และหากบุคคลที่เกี่ยวข้องส่วนใด มีข้อมูลเพิ่มเติมก็สามารถประสานมายังกระทรวงฯ เพื่อตรวจสอบต่อไป

“ทางหลวงใช้ระบบไอทีเข้ามาตรวจจับน้ำหนักรถบรรทุก ดังนั้น ข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการติดสติกเกอร์เพื่อแลกกับการไม่ตรวจชั่งน้ำหนักคงไม่ใช่ เพราะหากรถเข้าด่านแต่มีน้ำหนักเกินกำหนด หากติดสติกเกอร์เครื่องก็สามารถตรวจจับน้ำหนักได้อยู่แล้ว และเมื่อพบว่ามีน้ำหนักเกินก็ต้องถูกเรียกปรับตามกฎหมายกำหนด” นายพิศักดิ์กล่าว

ด้าน นายจิระพงศ์ เทพพิทักษ์ รองอธิบดี ทล. กล่าวว่า ปัจจุบัน ทล. ไม่ได้ใช้ระบบคนในการตรวจสอบน้ำหนักรถบรรทุก แต่เป็นระบบอิเล็กทรอนิกส์ ดังนั้นคงไม่เกี่ยวเนื่องว่ารถที่มีสติกเกอร์เท่านั้นที่จะผ่านด่านตรวจน้ำหนัก เพราะระบบอิเล็กทรอนิกส์เหล่านี้ตรวจจับที่น้ำหนัก ไม่ได้ยกเว้นสติกเกอร์ประเภทใด และหากตรวจจับน้ำหนักแต่ละคันมีผลอย่างไรนั้น ระบบหน้าด่านก็จะส่งผลมายังศูนย์ควบคุมกลาง เพื่อดำเนินการเปรียบเทียบปรับต่อไป

นายจิระพงศ์ กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีที่มีการกล่าวหาเจ้าหน้าที่รัฐในประเด็นดังกล่าวว่า ปัจจุบัน ทล. มีการตรวจสอบเจ้าหน้าที่ประจำด่านตรวจชั่งน้ำหนัก โดยจะสลับพื้นที่หัวหน้าด่านฯ ซึ่งเป็นข้าราชการประจำหน่วยทุกๆ 8 เดือน เพื่อป้องกันการกระทำความผิด ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความโปร่งใส และตอบข้อสงสัยของสังคม ทลคำพูดจาก ทดลองสล็อต ใหม่ล่าสุด. จะแต่งตั้งคณะทำงาน เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง อยู่ระหว่างรอการพิจารณาจากนายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดี ทล. เป็นผู้ลงนามคำสั่งแต่งตั้ง

สำหรับผลการจับกุมรถบรรทุกน้ำหนักเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดย้อนหลัง 4 ปี ระหว่างปี 63-66 พบว่ามีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 63 มีจำนวน 2,796 คัน ปี 64 มีจำนวน 2,891 คัน ปี 65 มีจำนวน 3,488 คัน และปีงบประมาณ 66 เก็บข้อมูลถึงวันที่ 17 พ.ค. 66 มีจำนวน 2,431 คัน

ขณะที่ นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) กล่าวว่า วันนี้ (31 พ.ค. 66) ได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนเกี่ยวกับการกระทำผิดส่วยบรรทุก โดยมี นายเสกสม อัครพันธุ์ รองอธิบดี ขบ. และโฆษก ขบ. เป็นประธาน เพื่อรวมรวบข้อมูลตรวจสอบเกี่ยวกับการร้องเรียนหรือกระแสสังคมที่มีการะทำผิดกรณีส่วยรถบรรทุกหรือรถขนส่งสาธารณะทุกประเภทที่ ขบ. กำกับและดูแล ซึ่งต้องดำเนินการแล้วเสร็จภายใน 15 วัน จากนั้นให้นำเสนอตน ก่อนที่จะเสนอกระทรวงคมนาคมให้รับทราบต่อไป

นายจิรุตม์ กล่าวต่อว่า สำหรับกรณีส่วยรถบรรทุกนั้น ขบ. จะมีหน้าที่ในการจดทะเบียนรถ ตรวจสอบอุปกรณ์ส่วนควบ สภาพรถ ชำระภาษีให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่ ขบ. กำหนด ขณะเดียวกันในช่วงที่มีฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) จะคุมเข้มในการตั้งด่านตรวจวัดควันดำในรถขนส่งสาธารณะ เน้นรถบรรทุก และรถโดยสาร เพื่อช่วยลดปัญหาฝุ่น ตามนโยบายรัฐบาลและกระทรวงคมนาคม นอกจากนี้ในช่วงเทศกาลจะตั้งจุดตรวจรถโดยสารสาธารณะ เน้นตรวจรถโดยสาร และ พนักงานขับรถ เพื่อให้ขับขี่ปลอดภัยตลอดการเดินทาง

นายจิรุตม์ กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตาม ขบ. เน้นย้ำนโยบายให้หน่วยงานในสังกัดปฏิบัติหน้าที่อย่างถูกต้อง โปร่งใส เพื่อป้องกันการกระทำผิดเกี่ยวกับการเรียกรับผลประโยชน์จากการทำงานมาโดยตลอด ทั้งนี้ หากคณะกรรมการสอบสวนเกี่ยวกับการกระทำผิดส่วยบรรทุก หรือระบบขนส่งสาธารณะอื่นๆ ได้ตรวจสอบข้อมูลพบว่ามีเจ้าหน้าที่ ขบ. กระทำผิดจะต้องได้รับการลงโทษทางวินัยและตามกฎหมายขึ้นอยู่กับแต่กรณี ซึ่งหากรุนแรงถึงขั้นให้ออกจากราชการ